ทริปไปดูงาน

บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สระผมยังไงให้สวยเงางามเป็นธรรมชาติ

1. ก่อนสระผมทุกครั้ง  :  เราควรแปรงผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นผมออกก่อนนะจ๊ะ  และอย่าลืมสางเส้นผมที่พันกันออกด้วยนะ  แต่ระวังอย่าแปรงแรรงจนเกินไปล่ะ  เพราะจะทำให้เส้นผมหักขาด  และเสียได้
2. นวดหนังศีรษะ  :  การนวดหนังศีรษะดีมาก ๆ  เลยนะคะ  เพราะจะกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดของหนังศีรษะ  ซึ่งทำให้เส้นผมของเราแข็งแรงมากขึ้นค่ะ
3. สายชู  :  คงแปลกใจกันละสิ  ว่าสายชูเกี่ยวอะไรกับเส้นผม  เกี่ยวแน่นอนค่ะ  เพราะทำให้เส้นผมสวยเงางามเป็นธรรมชาติมากขึ้น  แค่หลังารสระผมทุกครั้งใช้น้ำส้มสายชู  1  ช้อนโต๊ะ  ผสมกับน้ำอุ่น  3  แก้ว  ราดบนเส้นผมแล้วขยี้เบา ๆ  ให้ทั่ว  เรียกว่าล้างผมเป็นน้ำสุดท้ายนั่นเอง  ทำเป็นประจำอาทิตย์ละ  1  ครั้ง  ก็โอเคแล้วล่ะ
4. หวีสางหลังสระ  :  หลังสระผมแล้วใช้หวีสางผมให้ทั่ว  จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น  ตามด้วยใช้น้ำส้มสายชูล้างผมเป็นน้ำสุดท้าย  วิธีนี้นอกจากจะเพิ่มความเงางามให้เส้นผมแล้ว  ยังช่วยแก้ปัญหาของสาวที่ผมมักพันกันบ่อย ๆ  ได้ด้วยอีกน๊า
5. การล้างผมด้วยน้ำเย็น  :  รู้หรือเปล่าเอ่ย  ว่าการใช้น้ำเย็นล้างผมบ้าง  เป็นเรื่องที่ดีกับเส้นผมเหมือนกันนะ  เพราะความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัว  ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้เส้นผมเงางามยังไงล่ะ
6. ซับผมด้วยผ้าขนหนูเบา ๆ  :  สาว ๆ  อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมแรง ๆ  นะจ๊ะ  บางคนนี่พอสระผมเสร็จเช็ดผมแรงเหมือนถูบ้าน  ว้าย!  ไม่เอานะจ๊ะสาว ๆ  เพราะวิธีนี้จะทำลายความยืดหยุ่นของเส้นผม  แต่ให้ใช้ปลายนิ้วบีบน้ำในเส้นผมออกแทน  จากนั้นใช้ผ้าขนหนูซับเบา ๆ  ก่อนจะปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ

ที่มา นิตยสาร Sweety

ลดน้ำหนักเพื่อหุ่นสวยภายใน 7 วัน!! กับสูตรดี ๆ ไม่ทำลายสุขภาพกันเถอะ

วันจันทร์
มื้อเช้า  :  ไข่ดาว  1  ฟอง  +  ไก่ทอด  1  ชิ้น  (ไม่ต้องเอาหนังไก่นะจ๊ะ)
มื้อกลางวัน  :  สะโพกไก่ย่าง  1 ชิ้น  +  เกาเหลา  1 ชาม 
มื้อเย็น  :  สลัดผัก  +  กาแฟใส่คอมฟี่เมตไม่เกิน1 ช้อน  และน้ำตาลไม่เกิน  ½  ช้อนชา  (ถ้าหิวในช่วงดึกก็ให้ดื่มน้ำเปล่าแทนนะจ๊ะ)
วันอังคาร
มื้อเช้า  :  ไส้กรอก  2  ชิ้น  +  สลัดผัก  1  จาน
มื้อกลางวัน  :  แกงจืดไก่  1  ถ้วย  +  เนื้อสัตว์ผัดผัก 1  จาน
มื้อเย็น  :  น้ำพริกกะปิ  +  หน่อไม้  +  ผักจิ้ม  +  ไก่ตุ๋นมะนาวดอง  1  ถ้วย
วันพุธ
มื้อเช้า  :  ต้มจืดเลือดหมูใส่ผักกาดหอม  และตำลึง  1  ถ้วย
มื้อกลางวัน  :  เกาเหลาเนื้อเปื่อย  1  ชาม
มื้อเย็น  :  ปลากระป๋องยำ  หม่ำกับกะหล่ำปลีสดแทนข้าว  +  แกงจืดตำลึง  1  ถ้วย

วันพฤหัสบดี
มื้อเช้า  :  ไข่ดาว  1  ฟอง  +  แฮม  1  ชิ้น 
มื้อกลางวัน  :  เนื้อสัตว์ตุ๋น  1  ถ้วย  กินกับถั่วฝักยาว  หรือถั่วแขกลวก  1  ถ้วย
มื้อเย็น  :  น้ำพริกหอยแมลงภู่  กินกับแตงกวางหรือกะหล่ำปลี
วันศุกร์
มื้อเช้า  :  ไข่เจียวหมูสับ  1  ฟอง  +  ถั่วฝักยาว  หรือถั่วแขกลวก  1  ถ้วย
มื้อกลางวัน  :  ไก่ตุ๋น  2  ขา  +  ผักสด 1  จาน
มื้อเย็น  :  เนื้อสัตว์ผัดกะเพรา  1  จาน
วันเสาร์
มื้อเช้า  :  แฮม  2  ชิ้น
มื้อกลางวัน  :  เกาเหลา  1  ชาม  +  ส้มตำ  1  จาน
มื้อเย็น  :  ชะอมชุบไข่ทอด  1  ฟอง  +  ปลาทูทอด  1  ตัว  +  ผักสด
วันอาทิตย์
มื้อเช้า  :  เนื้อไก่ย่าง  1 ชิ้น  +  ผักสด
มื้อกลางวัน  :  สลัดเนื้อสัน  1  จาน  +  ไก่ตุ๋น  1  ถ้วย
มื้อเย็น  :  ปลาแป๊ะซะ  1  ตัว  +  ต้มจืด  1  ถ้วย

ที่มา นิตยสาร Sweety

เคล็ดลับหลากหลายที่จะทำให้คุณ “สวยได้ไม่แคร์ฝน”

เคล็ดไม่ลับในการดูแลผิวพรรณ    เพื่อให้คุณดูดีที่สุดเสมอ  แม้จะต้องเผชิญกับสายฝนโหมกระหน่ำ
ดูแลผิวอย่างไรดี
หน้าฝนเป็นห้วงเวลาของการพลิกฟื้นผืนดินอันแห้งแล้ง  เป็นห้วงเวลาของการเจริญเติบโตของต้นไม้  แต่ความชื้นในอากาศที่เพิ่มสูงขึ้นในหน้านี้  ก็อาจส่งผลกระทบหลายยอย่างต่อผิวคุณมันอาจทำให้ผิวของคุณมันเยิ้มเพิ่มขึ้นทันทีทันใด  หรือแห้งและขาดความชุ่มชื้นก็ได้  แต่อย่ากังวลไป  เรามีเคล็ดลับหลากหลายที่จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของผิวผุดผ่องได้เช่นเดิม
·       ความสะอาดสำคัญที่สุด    ความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้นในหน้านี้  ทำให้ความสกปรกและมลภาวะถูกดึงเข้ามาติดอยู่กับคราบเหงื่อ  พร้อมกับแบคทีเรียที่เติบโตได้ดีท่ามกลางความชื้น  การทำความสะอาดผิวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก  ควรเลือกใช้เครนเซอร์อ่อน ๆ  เพื่อให้ผิวแห้งตึง  ตามด้วยโทนเนอร์แบบปราศจากแอลกอฮอล์  เพาะความชื้นที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้
Extra Tip  :  หลังล้างหน้า  ใช้ก้อนน้ำแข็งถูให้ทั่วใบหน้าราว  10-15  นาที  มันจะช่วยลดโอกาสที่เหงื่อจะออก  และยังช่วยให้เมกอัพติดทนนานขึ้นด้วย
·       ผิวหมองคล้ำ       ปัญหาอย่างหนึ่งที่เรามักจะพบในหน้าฝนก็คือ  ผิวที่หมองคล้ำและขาดชีวิตชีวา  นี่เกิดมาจากความชื้นในอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น  การกระจายความชื้นที่ไม่สม่ำเสมอ  และการผลัดเซลล์ผิวที่แย่ลง  นอกจากากรทำความสะอาดแล้ว  เราจึงต้องช่วยในการผลัดเซลล์ด้วยการใช้สครับ  และควรเพิ่มเติมทรีตเมนต์เพื่อช่วยเพิ่มความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า  เช่น  การใช้มาส์กเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นกระจ่างใส  นอกจากนี้  ความชุ่มชื่นที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ต้องการความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นและอาจลดการใช้มอยสเจอไรเซอร์ลง  ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด  เพราะผิวยังคงต้องการความชุ่มชื้นอยู่เสมอ  หากอาจเปลี่ยนมาใช้มอยสเจอไรเซอร์ที่มีเนื้อบางเบาหรือมีส่วนผสมของน้ำเป็นหลักออเพื่อไม่ให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะหรือใบหน้าเป็นมันวาว
·       การปกป้องผิวสำคัญเสมอ                ในช่วงหน้าฝน  เรามักจะละเลยผิวของเรา  เพราะท้องฟ้ามักมืดครึ้มไม่ค่อยเห็นแสงแดดจัดจ้า  ทำให้หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดด  แต่ในความเป็นจริงก็คือ  รังสียูวีที่มองไม่เห็น  ยังคงแทรกผ่านก้อนเมฆลงมาทำร้ายผิวเราได้เช่นเดิม  ฉะนั้น  การใช้ครีมกันแดดจึงยังคงเป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณไม่เคยละเลยไม่ว่าในฤดูกาลใดก็ตาม

ที่มา นิตยสาร Lisa

3 เคล็ดลับสมัครงานให้บริษัทเมินคุณไม่ลง

1. พิสูจน์คุณค่าของตัวเองได้  :  การที่จะใส่คุณสมบัติของตัวเองลงในเรซูเม่ว่ามีความเป็นผู้นำและนักสื่อสารที่ดีก็เป็นเรื่องหนึ่ง  แต่ถ้าคุณมีตัวอย่างจับต้องได้ว่าในอดีตคุณมีผลงานความสำเร็จอะไรบ้าง  ก็เป็นอีกประเด็นเลยทีเดียว  สมมติว่าคุณต้องสมัครงานกับเวสเทิร์นยูเนี่ยน  ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก  การพูดถึงประสบการณ์ในต่างประเทศก้อาจเป็นคีย์เวิร์ดที่ทำให้คุณได้งาน
2. รู้จักองค์กร  :  ผู้สมัครที่ดีจะต้องเช็คเว็บไซต์ขององค์กรที่จะเข้าไปสมัคร  แต่ผู้ที่จะได้งานต้องรู้มากว่านั้นลองดูจากอีเวนต์หรือข่าวเพื่อให้เข้าใจองค์กรมากขึ้น  เช่น  วิสัยทัศน์  ผลิตภัณฑ์  จุดเด่นจุดด้อย  คู่แข่ง  ราคาหุ้น  ผู้บริหาร  
3. มีความกระตือรือร้น  :  ถ้าคุณใช้เวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและแสดงคุณสมบัติที่โดนใจกรรมการได้แล้ว  ก็แสดงว่าคุณมีความกระตือรือร้นนที่จะเข้าทำงานแล้วล่ะ  นอกจากนั้น  คุณยังแสดงความสนใจในตำแหน่งนั้นโดยการสอบถามว่างานของคุณมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างไรเมื่อโตขึ้น  และสนใจว่าตัวเองจะฟิตกับทีมงานได้อย่างไร  หากคุณกระตือรือร้นด้วยใจจริงแล้ว  ก็มีโอกาสอย่างมากที่กรรมการจะเล็งเห็นความตั้งใจและเลือกให้คุณเข้าทำงานอย่างแน่นอน

ที่มา นิตยสาร Lisa

กินอย่างไรให้ “ ยิ้มสวย”

                เราทุกคนทราบดีว่าสารอาหารที่เหมาะสมจะช่วยสร้างร่างกายที่แข็งแรงรวมไปถึงฟันและเหงือก  แต่ไม่ใช่แค่น้ำตาลหรือของหวานที่ไม่ดีกับฟัน  อาหารที่มีประโยชน์บางอย่างก็อาจทำให้ฟันผุกร่อนได้  ในขณะที่อาหารบางประเภทจะช่วยป้องกันโรคเหงือกและฟัน  หรือแม้แต่ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นได้ด้วยซ้ำ
1. กินคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารเท่านั้น  :  ขนมปังโฮลวีตหรือมันฝรั่งทอดกรอบก็อาจไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไหร่  อาหารจำพวกแป้งมักจะติดอยู่บริเวณช่องว่างระหว่างฟันหรือบริเวณเหงือก  จากนั้นก็จะแตกตัวเป็นน้ำตาล  กลายเป็นอาหารให้แบคทีเรียและทำให้เกิดคราบซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคเหงือกและอาการฟันผุ  American Dietetic Association  จึงแนะนำให้คุณกินคาร์โบไฮเดรตในมื้อใหญ่ ๆ  ดีกว่า  เพราะในเวลานั้นเราจะหลั่งน้ำลายออกมามาก  เศศอาหารจึงถูกชะล้างไปโดยง่ายดาย
2. กินวิตามินซีให้เพียงพอ  :  วิตามินซีเปรียบเสมือนปูนที่เชื่อมเซลล์ต่าง ๆ  เข้าด้วยกัน  มันจำเป็นต่อผิวเช่นเดียวกับเนื่อเยื่อของเหงือก  จาการศึกษาของ  State University of New York University  เปิดเผยว่า  คนที่กินวิตามินซีน้อยกว่า  60  มิลลิกรัมต่อวัน  จะมีโอกาสเป็นโรคเหงือกมากว่าคนที่กิน  180  มิลลิกรัมหรือมากกว่า  25 %
3. ดื่มชา  :  ทั้งชาดำและชาขาวมีสารโพลิฟีนอล  ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากพืชที่ช่วยป้องกันไม่ให้คราบหินปูนมาเกาะที่ฟัน  จึงช่วยลดโอกาสเกิดฟันผุหรือโรคเหงือก  นอกจากนี้  มันยังสามารถรถกลิ่นปากด้วยคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่น  แถมชาส่วนใหญ่ยังมีฟลูออไรด์ที่ได้มาจากใบชา  จึงช่วยป้องกัน เคลือบฟันด้วยเช่นกัน
4. กินแคลซียม  800  มิลลิกรัมต่อวัน  :  ประมาณ  90 %  ของแคลเซียมในร่างกายจะอยู่ในกระดูกและฟัน  โดยแคลเซียมจะช่วยให้กระดูกอัลวีโอลาร์ในขากรรไกรแข็งแรง  ซึ่งจะทำให้ฟันติดตรึงอยู่กับที่เป็นระดับและช่วยลดโอกาสเป็นโรคเหงือก  ปริมาณที่แนะนำคือ  1,000  มิลลิกรัมต่อวัน  สำหรับผู้หญิงอายุต่ำกว่า  50  ปี  และ  1,200  มิลลิกรัมต่อวัน  สำหรับคนที่อายุมากกว่า  50  ปี
Try  :  โยเกิร์ต  นม  ชีส  ปลาแซลมอน  ข้าวโอ๊ต  เต้าหู้  มัสตาร์ด  อัลมอนด์  ขนมปังโฮลวีต
5. สิ่งเล็ก ๆ  ที่ช่วยอคุณได้  :  ไซลิทอล-สารแทนน้ำตาลที่พบได้ทั่วไปในหมากฝรั่ง  มีการศึกษามากมายที่ช่วยบ่งบอกว่ามันช่วยป้องกันฟันผุ  แครนเบอร์รี่และเห็ดหอม-อาหารทั้งสองอย่างมีสารเคมีที่ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดกับฟัน  ผักกรอบ ๆ  อย่างเช่น  แครอต-จะช่วยขจัดเศษอาหารและคราบหินปูนออกมา
ที่มา นิตยสาร Lisa

แผนการไดเอ็ตสลายไขมันภายใน 3 วัน

สูตรไดเอต  3  วันนี้ค่อนข้างจะง่าย  ยืดหยุ่น  และเหมาะสำหรับทุก ๆ คน  ไม่ว่าจะเป็นคนรักเนื้อ  มังสวิรัติ  หรือใครก็ตาม  คุณยังกินอาหารที่ชอบได้เหมือนเดิม  เพียงแต่มีโกด์ไลน์เล็กน้อยเท่านั้น
1. กินประมาณ  1,600  กิโลแคลอรีต่อวัน  :  แบ่งเป็นมื้อเช้า  300  แคลอรี  อาหารกลางวันและอาหารเย็นมื้อละ  450  แคลอรี  ของว่างอีก  2  มื้อ  มื้อละ  200  แคลอรี  คุณจะได้กินอาหารมื้อเล็ก ๆ  ทุก   4-5  ชั่วโมง
2. กินอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมเยอะ ๆ  :  หลายคนกินแมกนีเซียมน้อยกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน  ( 320  มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิง )  ทั้งที่มันทำหน้าที่สำคัญในการสูบฉีดเชื้อเพลิงให้แก่กล้ามเนื้อ
3. ดื่มน้ำ  8-10  แก้วต่อวัน  :  การปรับให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับอุณหภูมิของร่างกายก้ต้องใช้พลังงานเช่นกัน  และควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย  8-10  แก้วต่อวัน

จานนี้แมกนีเซียมเพียบ(100 กรัม)
จานเด็ดไม่เกิน  250  แคลอรี
ผักโขม  65  มิลลิกรัม
ก๋วยเตี๋ยวน้ำหมู/ไก่/เนื้อ  1  ชาม
เต้าหู้  111  มิลลิกรัม
สุกี้ยากี้น้ำ  ชาม
ถั่วลิสง  160  มิลลิกรัม
กระเพาะปลา
เมล็ดฟักทอง 400-500  มิลลิกรัม 
เกาเหลารวมมิตร
ผงโกโก้  300  มิลลิกรัม
ข้าวซ้อมมือ  ทัพพี
แกงส้มผักรวม
ผัดผักรวมมิตร
แคลิฟอร์เนียโรล  ชิ้น
ส้มตำไทยไม่ใส่ถั่ว



ที่มา นิตยสาร Lisa

อยากผอมต้องไม่ลืมเลข 7

ถ้าแค่นั่งจ้องอย่างเดียว  เลข  7  คงทำให้คุณผอมไม่ได้  แต่ถ้าคุณพกบัญญัติสู้ไขมัน  7  ประการนี้ติดตัวไปด้วยตลอดเวลา  รับรองว่าความผอมจะไม่สูงสุดสอยแน่ ๆ  ค่ะ
1. จัดตารางอาหาร  :  นี่คือเคล็ดลับชิ้นเด็ดที่จะนำคุณไปสู่ความสลิมแบบยั่งยืน  เพราะถ้าไปเดินดูอาหารหลากหลายรสชาติตามแผงอาหาร  คุณจะห้ามตัวเองได้ลำบาก  แต่ถ้าเขียนตารางอาหารของแต่ละวันไว้ทุก ๆ  เช้าแล้วรีบตรงไปที่อาหารจานนั้นทันที  โอกาสอ้วนจะลดลงอย่างน้อยก็  30  %
2. ของหวานหลบไปผลไม้มาแล้ว  :  ความลับข้อนี้มักจะถูกคนอ้วน ๆ  มองข้ามไป  เพราะคนอ้วนส่วนใหญ่จะโปรดฟาสต์ฟู้ด  ขนมหวาน  หรือของทอด ๆ  มัน ๆ  มากกว่า  ทั้ง ๆ  ที่ของพวกนั้นไม่มีเส้นใยอาหารอย่างในผลไม้  ยิ่งกินอาหารที่มีเส้นใยมาก  เราจะยิ่งอิ่มเร็ว  อิ่มทน  ลดโอกาสจะอ้วนไปโดยปริยาย  และเส้นใยพวกนี้ยังทำหน้าที่เหมือนไม้กวาดเข้าไปกวาดเอาไขมันที่สะสมอยู่ในพุง  เอว  ก้น  ออกมาด้วย  แต่ถ้ามาเปลี่ยนกินผลไม้เป็นประจำทุกวันและกินให้ได้อย่างน้อย  1  ใน  3    ของอาหารแต่ละมื้อ  คุณก็จะผอมลงโดยอัตโนมัติ  เพราะเส้นใยผลไม้เข้าไปปัดกวาดไขมันให้  โดยไม่ต้องออกกำลังกายเลย
3. หลับดีไม่มีอ้วน  :  ความผอมกับการนอนอาจฟังดูไม่น่าจะไปด้วยกันได้  แต่คนที่นอนหลับสนิทนี่ล่ะคือคนที่จะผอมเร็วและผอมนาน  ผลวิจัยจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ในสหรัฐเขาบอกเอาไว้ว่า  สาวผอมส่วนใหญ่มักจะนอนมากกว่าคนอ้วนสัปดาห์ละ  2  ชั่วโมง  เหตุผลก็อยู่ระหว่างที่เราหลับระดับฮอร์โมน  Lepfin  ซึ่งทำหน้าที่กดความอยากอาหารจะต่ำลงไปเอง  ทำให้คนนอนมากไม่หิว  ไม่อยากกินอะไร  แต่ตรงกันข้าม  ระหว่งที่เรากำลังตื่นฮอร์โมนตัวนี้ก็จะสูงขึ้น  สาวนกฮูกถึงรู้สึกว่าหิวบ่อยจนต้องไปเปิดตู้เย็นหาความอ้วนมาเสิร์ฟให้ตัวเอง
4. มีวินัยในการกิน  :  นี่คืออาวุธสำคัญในการปราบความอ้วน  คนผอม ๆ  เขาจะรู้ว่าควรจะเลือกกินอะไรและต้องไม่กินอะไร  หรือเมื่อเริ่มแผนไดเอทแล้ว  ขณะที่สาวอ้วนใจอ่อนยอมแพ้ตั้งแต่วันแรก  สาวผอมเขาจะเดินหน้าทำตามแผนไปได้จนจบโปรแกรมไม่มีการบอกตวเองว่าแค่ดดนัทชิ้นเดียวเองไม่อ้วนหรอกน่า  อย่างที่คนอ้วนชอบพูดกัน
5. คว้าปากกาเมื่อเริ่มหิว  :  แทนที่จะรีบสนองทันที่ที่กระเพาะร้องเตือน  หิวเมื่อไรให้หันไปคว้ากระดาษกับปากกามาจดนั่นจดนี่  คิดเรื่องอื่นไปสัก  10  นาที  จากนั้นก็ลองกลับมาสำรวจตัวเองอีกทีว่ายังหิวอยู่รึเปล่า  ถ้าไม่หิวก็ไม่ต้องกิน  เพราะบางทีความหิวที่เรารู้สึกยังไม่ใช่ความหิวที่แท้จริง  แต่เป็นแค่อาการเตือนเริ่มแรกจากสมอง  หรืออาจจะเป็นแค่ความหิวโหยเล็ก ๆ  ก็ได้  คนที่ไม่กินทันทีที่หิวถึงตัดโอกาสอ้วนไปได้ถึง  20 %  ก็เพราะเหตุนี้เอง
6. หยุดกินที่ระดับ  7  :  คนผอม ๆ  เค้าก็กินของอร่อย ๆ  เหมือนกับสาวตุ้ยนุ้ยนี่ล่ะ  แต่เค้ามีลิมิตว่าจะหยุดความอร่อยไว้ที่ระดับ  6-7  ไม่ใช่กนต่อจนอิ่มไปถึงระดับ  9-10  หรือบาง่คนอาจจะต่อไปที่  11-12  จนอิ่มแปล้แทบลุกไม่ขึ้นอย่างน้องหมูสู้ตายทั้งหลาย  เพราะที่จริงเมื่อเรากินไปถึงระดับ  6-7  เราก็จะได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้ว  เมื่อดื่มน้ำตามเข้าไปอีก  1  แก้วโต ๆ  ก็จะอิ่มกำลังดี  ส่วนระดับ  8-10  ที่สาวอ้วนหลงกินต่อไป  นั้นไม่ได้สนองความหิวของร่างกาย  แต่จะสนองความพอใจเสียมากกว่า  ถ้าอยากรู้ว่าระดับไหนที่ควรหยุด  ระหว่างที่กินให้สังเกตตัวเองไปด้วยพอเริ่มรู้สึกว่าอิ่มหรือกินช้าลงแล้ว  นั่นล่ะใช่เลย
                7. สร้างนิสัยคุ้นเคย  :  คนอ้วนจะชินกับการกินตลอดเวลา  ส่วนคนผอมก็มีความเคยชินที่จะไม่กินพร่ำเพรือ  ที่สำคัญคือนิสัยพวกนี้เราสร้างให้เกิดขึ้นได้  แรก ๆ  คุณอาจจะรู้สึกว่าอยากกินตลอดทั้งวัน  แต่ถ้ารีบดื่มน้ำเปล่าหรือจิบชาสมุนไพรทุกครั้งที่เกิดความอยาก  จะช่วยหยุดอาการไปได้ชั่วคราว  ลองทำต่อเนื่องกันให้ได้สักอาทิตย์หนึ่งแล้วคุณจะพบว่าตัวเองไม่หิวบ่อยเท่าเมื่อก่อน  นั่นล่ะ!  ร่างกายคุณกำลังชินกับการไม่กินพร่ำเพรือเกินจำเป็นแล้ว

ที่มา นิตยสาร Spicy

5 วิธีง่าย ๆ ช่วยลดโลกร้อน

โลกจะร้อนน้อยลงถ้าเราทุกคนช่วยกัน  และ  5  วิธีต่อไปนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงคุณแน่ ๆ
1. ยืดอกพกถุงผ้า  :  รู้ไหมว่ากว่าจะย่อยสลายถุงพลาสติกใบหนึ่งหมดใช้เวลากี่ปี  แต่ถ้าเราทุกคนพกถุงผ้าไปใส่ของเวลาช้อปปิ้ง  จะช่วยโลกประหยัดพลังงาน  ลดปริมาณขยะ  แถมยังทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลงอีกด้วย
2. ส่งเมสเสจแทนการโทร  :  ถ้าจะคุยธุระแค่สั้น ๆ  ส่งข้อความไปหากันจะดีกว่า  เพราะการส่งเมสเสจกินไฟน้อยกว่าการโทรศัพท์ตั้ง  30  เท่า
3. ไม่เอาสลิป  :  สลิปจากเอทีเอ็มคือกระดาที่เราไม่เคยสนใจจะอ่าน  แล้วจะรับมาทำไมให้เปลืองพลังงาน  ต้นไม้  น้ำ  ไฟฟ้า  สถิติบอกว่าทุกคนเซย์โนไม่เอาสลิปเอทีเอ็มเป็นเวลา  1  ปี  จะประหยัดกระดาษได้มากพอที่จะเอามาวนรอบเส้นศูนย์สูตรได้ถึง  15  รอบเชียวล่ะ
4. ปิดน้ำเวลาแปรงฟัน  :  แต่ละนาทีที่เปิดน้ำทิ้งไป  หมายถึง  การสูญเสียทรัพยากรไปโดยใช่เหตุ  เลิกเปิดน้ำทิ้งตั้งแต่วันนี้ดีกว่า  จะได้ไม่ต้องเสียใจเวลาน้ำขาดแคลน
5. ปลูกต้นไม้คนละต้น  :  ต้นไม้เขียว ๆ  จะช่วยเพิ่มออกซิเจนในอากาศ  ถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้  ดลกร้อน ๆ  ก็จะเย็นขึ้นได้ด้วยมือของเราเอง

ที่มา นิตยสาร Spicy

15 Minute workout ฟิต&เฟิร์ม ด้วยบอลลูกเดียว

มาออกกำลังกายแบบง่าย ๆ  แต่ได้ผลชัวร์  ด้วยอุปกรณ์แสนธรรมดากัน
ถาม  :  อุปกรณ์ฟิตเนสอะไรที่โยนได้  รับได้  ถือได้  แล้วก็ยกได้ด้วย?  คำตอบที่ถูกต้อง  :  ลูกบอลออกกำลังไง  (ถ้าคุณตอบว่าดัมเบลล์ล่ะก็  ขออนุญาตยืนออกกำลังห่างนิดหนึ่งนะคะ)
                ลูกบอลออกกำลังมีคุณสมบัติหลายอย่างที่คล้ายดัมเบลล์  แต่ว่าลูกบอลออกกำลังจะดูมีภาษีกว่าในหลาย ๆ  เรื่อง  เบรต  ฮอเบล  (Brett  Hoebel)  เจ้าของฮอเบลฟิตเนส  และผู้ผลิตดีวีดี  Rev  Abs  ซึ่งเป็นคนคิดค้นท่าออกกำลังต่อไปนี้กล่าวไว้  ไม่ว่าคุณจะโยนให้บอลเด้งลงพื้น  หรือรับบอลที่ระดับอก  ลูกบอลออกกำลังท้าทายการทรงตัวและระบบประสานงานของร่างกาย  ในขณะที่ลำตัวก็สบโอกาสได้ยืดหยุ่นออกกำลังไปด้วย
                ควรเริ่มทำท่าแรกไปประมาณ  10  ถึง  12  เซต  แล้วพักประมาณ  30  วินาที  ก่อนทำท่าต่อไปจนกว่าจะครบทั้ง  4  ท่า  จากนั้นหยุดอีกหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอีก  2  หรือ  3  รอบ
4  ท่าเวิร์กเอาต์กับลูกกลม ๆ
1/ทุ่มบอล  :  ยืนตรง  ขาทั้งสองห่างกันมากว่าความกว้างของสะโพก  ถือบอลชูสูงเหนือศีรษะ  เหวี่ยงแขนไปข้างหลังเล็กน้อย  ยืดหลังตร  แล้วทุ่มลูกบอลลงบนพื้นด้านหน้าพร้อมย่อเข่านั่งย่อง ๆ  เก็บลูกบอลก่อนที่จะลุกขึ้นยืนในท่าเตรียมนับเป็น  1  เซต
2/ท่ามีดพับ  :  นอนหงายบนพื้นราบ  ถือลูกบอลออกกำลังไว้เหนือศีรษะ  แขนขาเหยียดตรง  เกร็งกล้ามเนื้อ  แล้วค่อย ๆ  ยกลำตัวขึ้น  ในขณะที่ยกขาซ้ายขึ้นพร้อม ๆ  กับดึงมือที่ถือบอลมาเตะเท้าซ้าย  ผ่อนลำตัวลงนอนในท่าเตรียม    แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยการยกขาอีกข้างนับเป็น  1  เซต
3/เตะข้าง  :  ถือลูกบอลออกกำลังไว้ระดับอกถ่ายน้ำหนักทั้งตัวมาที่ขาซ้าย  แล้วยกเข่าขวาขึ้น  งอพับไว้  หมุนสะโพกให้ขนานไปกับพื้นแล้วเตะขาขวาออกไปด้านข้าง  ขณะเดียวกันก็ยื่อนลูกบอลไปด้านหน้า  กลับมาที่ท่าเตรียม  นับเป็น  1  เซต  ทำให้ครบเซตก่อนที่จะเปลี่ยนข้าง

ที่มา นิตยสาร Women’s Health

สู้ไมเกรนด้วยแก้วนี้ !

ต่อไปนี้ไมเกรนตัวร้ายจะเลิกมาเกรียนคุณเสียที  เพราะคุณมีสมูทตี้สูตรเด็ดแก้วนี้เป็นเพื่อนคู่ใจ
เครื่องปรุง
แอปเปิ้ล  :  อุดมไปด้วยโพแทสเซียม  กำมะถัน  เหล็ก  แมกนีเซียม  วิตามินบี  1  บี  2  และบี  6  มีสรรพคุณในการลดความเครียดได้ซะงัดนัก
ผักโขม  :  มีเบต้าแคโรทีน  กรดโฟลิก  แคลเซียม  เหล็ก  ฟอสฟอรัส  โพแทสเซียม  โซเดียม  วิตามินบี  6  และคลอโรฟิล  ช่วยบำรุงตับ  บำรุงเลือด  และถุงน้ำดี
แตงกวา  :  มากมายไปด้วยโพแทสเซียม   กรดโฟลิก  แคลเซียม  และกำมะถัน  ช่วยขับปัสสาวะ  ลดอาการบวบน้ำ  คนที่เป็นเกรนเมื่อไรหน้าบวบทุกที  เตรียมเฮได้เลย
อบเชย  :  กลิ่นหอมของอบเชยจะช่วยสร้างความสดชื่นผ่อนคลาย  ช่วยให้คนที่เป็นไมเกรนนอนหลับสนิท  พอตื่นขึ้นมาจะหายปวดเป็นปลิดทิ้ง
วิธีทำ
นำแอปเปิ้ลเขียวหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า  1  ถ้วย  ผักโขมหั่นพอหยาบ  1  ถ้วย  แตงกวาฝานเป้นแว่นบาง ๆ  1  ถ้วย  ใส่ในเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้คั้นเอาน้ำออกมา  โรยผงอบเชยลงไปเล็กน้อย  ดื่มทันทีก่อนที่เอ็มไซม์ผักจะสลายตัวไป


ที่มา นิตยสาร Spicy

4 วิธีเพิ่มความสูงที่คุณก็ทำได้

สมัยนี้เป็นยุคเสาโทรเลขครองเมือง  เพราะใคร ๆ  ก็อยากสูงกันทั้งนั้น  ถ้าส่วนสูงของคุณยังไม่มากเท่าที่ต้องการ  วิธีต่อไปปนี้ช่วยท่านได้ 
1. จัดกระดูกแบบไคโรแพรคติก       ศาสตร์ที่ชื่อไคโรแพรคติก  เป็นวิธีปรับและจัดกระดูกสันหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง  อธิบายง่าย ๆ  ได้ว่ากระดูกสันหลังของคนเรามี  33  ข้อ  ในจำนวน  24  ข้อจะไม่ปิดเชื่มเข้าด้วยกัน  แต่การจัดกระดุกจะทำให้กระดูกทุกข้อต่อกันอย่างแนบแน่น  ระบบประสาทจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น  และส่งผลถึงพัฒนาการด้านการเจริญเติบโตทำให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้นไปด้วย  คุณหมอรับรองมาว่าจะทำให้สสูงขึ้นได้ถึง  6-7  เซนติเมตรเลยทีเดียวแถมยังดีต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ  ด้วย
2. ออกกำลังกายด้วยแทรมโพลีน    แทรมโพลีนก็คือแผ่นผ้ายืดที่ถูกขึงจนตึงใช้สำหรับกระโดดดึ๋งขึ้น ๆ  ลง ๆ  วิธีนี้นอกจากช่วยให้อารมณ์ดีลดอาการวึมเศร้าได้แล้ว  ยังเป็นการออกกำลังกายในแนวดิ่งที่ทำให้มวลกระดูกต้นขาหนาแน่นขึ้น  ช่วยยึดกล้ามเนื้อที่เหมาะสมในการเพิ่มความสูง  ทำให้ร่างกายสร้างออร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต  (Growth Hormone)  ออกมา  เลยทำให้สูงขึ้นอย่างน้อย  2.5  เซนติเมตร  ยิ่งถ้าออกกำลังกายได้ถูกต้องตามที่คุณหมอแนะนำ  อาจจะสูงได้ถึง  5  เซนติเมตรเลยด้วยซ้ำ
3. กินอาหารมีประโยชน์    ถ้าอยากสูงต้องอย่าอดข้าว  นอกจากจะกินให้ครบ  3  มื้อแล้วยังต้องเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียมมาก ๆ  เช่น  นม  โยเกิร์ต  ปลาตัวเล็ก ๆ  เพื่อช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกและกระตุ้นการทำงานของต่อมพิทูอิทารีให้หลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต  (Growth Hormone)  ออกมามาก ๆ  ส่วนสูงที่ฝันไว้จะได้ไหลมาเทมา
4. พักผ่อนเพียงพอ             เวลา  5  ทุ่มถึงตี  2  เป็นช่วงที่ต่อมพิทูอิทารีใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโตออกมา  คนที่มัวแต่เล่นเกมคอมพิวเตอร์  หรือออกไปทำเปรี้ยวเที่ยวตามผับแทนที่จะเข้านอน  ก็เลยหมดสิทธิ์ได้รับส่วนสูงเป็นรางวัล  แถมดีไม่ดีอาจอ้วนลงพุงด้วย  ต่อไปนี้มาเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้ากันดีกว่า  ร่างกายจะได้สดชื่นสวยวันสวยคืน

ที่มา นิตยสาร Spicy